หลังจากถ่ายภาพเซลฟี่นี้ลงโซเชียล เธอได้กลายศพเพราะเหตุนี้ ไม่น่าเลย!


สยามอัพเดทพบเรื่องที่น่าตกใจ เมื่อวอชิงตันโพสต์รายงานถึงเหตุการณ์ "สเตฟานี่ เฮอร์นันเดซ" วัยรุ่นชาวอเมริกันอายุ 21 ปีถูก "ราฟาเอล กอนซาเลซ" แฟนหนุ่มพลาดพลั้งใช้อาวุธปืนยิงเสียชีวิตในบ้านพัก เป็นเวลา 1 ช.ม. หลังจากที่สเตฟานี่ถ่ายภาพเซลฟี่ผ่านทางแอพสแน็ปแช็ทกับราฟาเอล โดยในภาพจะเผยให้เห็นช็อตที่ราฟาเอลถือปืนที่มีลำแสงเลเซอร์สีแดง จ่อมาที่ศีรษะของสเตฟานี่
ตำรวจรีบรุดหน้าไปยังที่เกิดเหตุ ซึ่งก็คือบ้านของราฟาเอล และพบศพของสเตฟานี่อยู่ในสภาพที่มีเลือดไหลออกมาจากศีรษะ พร้อมหลักฐานเป็นอาวุธปืนขนาด .45 พร้อมด้วยชุดกระสุนสำรองอยู่ใต้ผ้าม่าน
ในขณะที่ด้านรูมเมทชายของราฟาเอล ซึ่งเป็นผู้โทรเรียกตำรวจระบุว่า ราฟาเอลเอาแต่นั่งร้องไห้และคร่ำครวญว่าตนเผลอทำปืนลั่นใส่แฟนสาวของตนเอง ก่อนจะหนีออกไปจากที่เกิดเหตุ และเมื่อบรรดาเพื่อนฝูงและครอบครัวมาตรวจตราที่เกิดเหตุ ทุกคนก็เห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าสภาพภายในนั้นเละมาก บ้านถูกรื้อคน มีแต่รอยเลือด และเสื้อผ้ากระจัดกระจายเต็มไปหมด
ในขณะที่ราฟาเอลถูกจับกุมข้อหาฆาตกรรม ยังมีรูมเมทคนหนึ่งเปิดเผยต่อตำรวจว่า ราฟาเอลมักจะชอบเอาปืนพกออกมาเล่นและจ่อศีรษะสเตฟานี่เสมอ พร้อมกันนั้นยังว่าตนรู้ภูมิหลังของราฟาเอลดี รู้ว่าอยู่ด้วยแล้วไม่ปลอดภัยอย่างไร


"ไม่อยากจะเชื่อเลย เมื่อวานฉันยังเจอสเตฟานี่ดีๆอยู่" แจ็คควินแลน เดวิส กล่าว
ในขณะที่ครอบครัวของสเตฟานี่ต่างกำลังอยู่ในความเศร้าโศกเสียใจ กับการสูญเสียสมาชิกอันเป็นที่รักคนหนึ่งไปอย่างโหดร้ายและไม่ทันตั้งตัว
"มัน...มันเกิดขึ้นจนได้" แคมรีน สตาร์ทซ์ น้องสาวของสเตฟานี่กล่าว ก่อนจะเผยว่าสเตฟานี่ยังมีลูกสาวอีกด้วย 2 คน อายุ 3 ขวบและ 8 เดือนตามลำดับ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในจุดที่สะเทือนใจที่สุด เช่นเดียวกับหลานสาวของแคมรีนเองที่เอาแต่ร้องไห้ตลอดทั้งคืนหลังจากที่สเต ฟานี่เสียชีวิตแล้ว

Rafael Gonzalez (North Little Rock Police Department)
*ปืน เป็นอาวุธที่อันตรายมากทางทีดีอย่าประมาทดูเรื่องนี้เป็นอุธาหรณ์นะครับ
รูปภาพ : SnapChat
เครดิต: New York Daily News
เครดิต: Daily Dot
เรียบเรียงโดย: Siam Update

อึ้งหนักมาก! ทอมหล่อ เปิดหมดเปลือก ตัดมดลูก-ตัดนม เปลี่ยนโฉมเป็นชาย พร้อมเผยเรื่องเซ็กส์ ตอนมีอะไรกันเกิดอะไรขึ้น



หากใครติดตามโซเชี่ยล ก็จะจำเขาได้ดี !! สำหรับ “จิ๊บ ญาณิชา มหาอุดมพร” สาวหล่อกล้ามโต ดีกรีเทรนด์เนอร์ออกกำลังกายที่โด่งดังชั่วข้ามคืนกับภาพโชว์หุ่นสุดฟินที่ทำสาวเคลิ้มทั้งประเทศ หรือแม้แต่เก้ง กวาง กะเทย ก็ร้องซี๊ดกันเป็นแถว แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังความหล่อ เพอร์เฟคขนาดนี้ เขาต้องผ่านคุณหมอมาหลายครั้ง โดยเฉพาะการแปลงเพศ ซึ่งถือว่าเป็นความฝันสูงสุดของเขา
เพราะเขา ที่ไม่ใช่แค่หน้าดี หน้าหล่อเท่านั้นนะ แต่หุ่นยังแน่นเต็มไปด้วยซิกแพคอีกด้วย มองเผิน ๆ นี่แทบแยกไม่ออกว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายเลยล่ะ ส่วนล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ จิ๊บ ทอมหล่อ ก็ได้ไปถ่ายแบบโกอินเตอร์ที่ประเทศเวียดนาม บอกเลยว่าสาว ๆ ที่นั่น (รวมถึงสาวไทยด้วย) กรี๊ดกันกระจาย เนื่องจากมีแฟชั่นเซตถอดเสื้อ อวดหน้าอกหน้าใจที่ไร้ทรวงอก แต่เต็มไปด้วยกล้ามแน่น ๆ งานนี้รายการ ตัวจริง-เสียงจริง ทางช่อง 2 ก็ขอพาจิ๊บ ทอมหล่อ มาเปิดใจเกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อย ว่า..หน้าอกหายไปไหน ตอนนี้ทำอะไรมาแล้วบ้าง พร้อมกับล้วงลึกเรื่องรักและเรื่องเซ็กส์ ว่าเติมเต็มความรักให้กันยังไง วันนี้ (9 มีนาคม 2559) เรามีคำตอบแบบล้วงลึกมาฝากกัน
           เริ่มต้น ด้วยประเด็นที่ว่าเป็นอย่างไรมาอย่างไรถึงได้ไปถ่ายแบบที่ประเทศเวียดนาม ได้.. จิ๊บ ทอมหล่อ เผยว่า เพื่อนชักชวนไป เขามีไอเดียเรื่องเพศที่สามว่าอยากจะทำอะไรสักอย่างให้สังคมยอมรับและเปิด รับมากกว่านี้ ซึ่งการถ่ายแบบดังกล่าวก็มีการแถลงข่าวกันที่ประเทศเวียดนาม ส่วนแฟชั่นนั้นมีด้วยกัน 3 ชุด เป็นชุดเวียดนาม, ชุดสูท และถอดเสื้อ ถ้าถามว่าคนที่นั่นกรี๊ดกร๊าดไหม ก็พอสมควร เพราะประเทศเขายังใหม่เรื่องการข้ามเพศ


     จิ๊บ ทอมหล่อ กล่าวต่อว่า การถ่ายแบบนั้นมีการถอดเสื้อโชว์ด้วย จริง ๆ สมัยก่อนตอนถอดเสื้อแรก ๆ ก็เขิน ๆ อาย ๆ แต่หลัง ๆ เฉย ๆ แล้วเพราะคิดว่าตนเองเป็นผู้ชาย.. ส่วนเรื่องจะโกอินเตอร์หรือไม่นั้น ก็มีงานที่ประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ติดต่อเข้ามาเหมือนกัน ส่วนงานถ่ายแบบที่เวียดนามนั้น เราไม่ได้แสวงหาผลประโยชน์ อยากทำเพื่อให้เขายอมรับเพศที่สาม เลยไม่ได้ค่าตัว
           มี หลายคนสงสัยว่า ทำไมจิ๊บต้องพยายามโชว์แมน โชว์กล้ามด้วย จิ๊บ ทอมหล่อ เผยว่า ตนอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดีและอยากเป็นแรงบันดาลใจให้กับทอม รวมถึงทุกคนที่อยากจะสุขภาพดีด้วย การที่ถ่ายรูปออกมาแบบนั้นก็อยากให้ทุกคนคิดว่าเพศที่สามอย่างตนสามารถทำ อะไรเทียบเท่ากับเพศปกติได้ และเรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ส่วนเขาจะยอมรับหรือเปล่านั้นก็เรื่องของเขา
           สำหรับประเด็นเรื่องแอนตี้ จิ๊บ ทอมหล่อ ก็บอกว่า มีพอประมาณ เพราะผู้ชายบางคนไม่ชอบเพศที่สาม ด่าและโจมตีตนทางเฟซบุ๊ก แบบของเทียมจะมาสู้ของแท้ได้ อย่างไร ตรงนี้มันไม่ใช่ประเด็นเลย ที่เราถอดเสื้อถ่ายรูปอะไรนั้นก็เพราะอยากจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลาย ๆ คนมากกว่า ว่าพัฒนาตัวเองอย่างไร ส่วนใครจะบอกว่าของปลอมยังไงก็คือของปลอม ตนเข้าใจและรู้ดีว่าตนไม่ใช่ของจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็อยากจะให้ใกล้เคียงที่สุด ซึ่งตอนนี้ก็พอใจแล้ว
           หาก พูดถึงภาพที่ถ่ายแบบ หลายคนมองว่าไม่เห็นเหมือนตัวจริงเลย ในภาพนั้นดูแมนมาก ๆ แต่ตัวจริงยังคงมีความเป็นผู้หญิงอยู่ จิ๊บ ทอมหล่อ ระบุว่า ตนเองก็เป็นคนยอมรับในเพศกำเนิดนะ มันได้เท่านี้ก็คือเท่านี้ ไม่ซีเรียส เพราะบางมุมก็ยังมีความเป็นผู้หญิงอยู่


    มาต่อกันเรื่องหุ่น !! ที่ตอนนี้แซ่บแบบชายแท้หลายคนยังอาย จิ๊บ ทอมหล่อ เผยว่า การออกกำลังกายครั้งนี้ มันเริ่มต้นที่เธออ้วนขึ้น หนัก 53 กิโลกรัม ซึ่งตนไม่เคยหนักเท่านั้นมาก่อน เลยตัดสินใจเข้าฟิตเนส พอเข้าไปประมาณ 3-4 เดือนก็เห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง และคิดว่ามีกล้ามมันก็สวยดี เลยเล่นติดต่อกันมาเรื่อย ๆ ตอนนี้ก็เล่นมาประมาณสามปีครึ่งแล้ว จริง ๆ ใครอยากจะหุ่นดีก็ต้องดูที่โภชนาการด้วย ตอนแรกตนกลัวอ้วนมาก กินอาหารน้อยทำให้กล้ามมันไม่พัฒนาอย่างที่ควร หากมีโภชนาการที่ดีและออกกำลังกายแบบถูกต้องประมาณ 1 ปีกว่า ๆ รับรองว่าหุ่นแซ่บแน่ ส่วนตอนนี้น้ำหนักของตนอยู่ที่ 60 กิโลกรัม ไม่ได้หนักเพราะมวลไขมัน แต่หนักจากมวลกล้ามเนื้อ ส่วนการออกกำลังกายก็อย่าหักโหมมาก ตนคิดว่าออกประมาณวันละ 1 ชั่วโมง หรือ 1 ชั่วโมงครึ่ง กำลังดี เพราะหากออก 2-3 ชั่วโมงมันอาจจะหนักไป และอาจจะเกิดอาการบาดเจ็บได้


เปลี่ยนเรื่องร่างกายมาพูดเรื่องหัวใจบ้าง ว่าจิ๊บมีแฟนหรือยัง ด้านจิ๊บ ทอมหล่อ ตอบว่า มีแล้ว คบมาประมาณครึ่งปี ใช้ความเข้าใจเป็นพื้นฐาน และหากมีปัญหากันก็พูดคุยกัน แนะนำและเป็นที่ปรึกษาให้กันและกันได้ เมื่อถามว่าทอมดี้ หึงแรงใช่ไหม จิ๊บ บอกว่า พอมีข่าวทอมแทงดี้ ก็จะคิดว่าพวกเพศที่สามเป็นพวกรุนแรง แต่จริง ๆ ลองมองดูดี ๆ ผู้ชายแทงผู้หญิง ผู้หญิงแทงผู้ชายก็มีไม่ใช่เหรอ แต่เขาไม่เอามาเป็นประเด็นกัน ตนคิดว่าเพศอะไรก็รักแรงหึงแรงกันหมด 
           มาถึงเรื่องราวเอ็กซ์คลูซีฟกันบ้าง สำหรับเรื่องบนเตียงว่าจิ๊บมีวิธีเติมรักกับแฟนอย่างไร จิ๊บ บอกว่า ก็จะมีอุปกรณ์เสริมบ้าง แต่หลัก ๆ ก็ใช้มือ จุดสุดยอดก็มีถึงบ้าง ส่วนแฟนคนแรกก็อายุ 14 และเสียตัวครั้งแรกก็อายุ 14 ปีนี่แหละ สำหรับมุมมองความรักของตนนั้น ตนคิดว่าเซ็กส์และความรักเป็นของควบคู่กัน ขาดอะไรไปมันก็ไม่สามารถเติมเต็มได้ สองอย่างนี้ต้องไปพร้อม ๆ กัน 

ส่วนเรื่องแปลงเพศนั้น ก่อนการผ่าตัดจะต้องให้จิตแพทย์ประเมิน และให้คนไข้ทดลองใช้ชีวิตแบบผู้ชายก่อน 1 ปี เพื่อให้แน่ใจว่าคนไข้เป็นกลุ่มที่ต้องการเปลี่ยนตัวเองจริงๆ ขั้นตอนต่อไปก็คือการลองใช้ฮอร์โมนเพศชาย และสิ่งที่เปลี่ยนแปลงหลังใช้ฮอร์โมนคือ มีหนวดขึ้น เสียงห้าวขึ้น มีลูกกระเดือกขึ้น ซึ่งพอสรีระเริ่มเปลี่ยนแปลง จิตแพทย์ก็ทำการประเมินอีกรอบ จนถึงขั้นตอนการเอามดลูกกับรังไข่ออก ซึ่งเมื่อตัดออกแล้ว เจ้าตัวยืนยันว่ายังมีความต้องการทางเพศอยู่เหมือนเดิม และนี่คือขั้นตอนแรก ก่อนจะไปสู่ขั้นตอนที่2 คือ เย็บปีกช่องคลอด และขั้นที่3 สร้างอวัยวะเพศชาย นั่นเอง ซึ่งเขาเผยว่ากำลังศึกษาอยู่ ส่วนเรื่องการมีเซ็กส์กับแฟนตอนนี้ ก็ปกติเหมือนทอมดี้ ทั่วไปคือการใช้นิ้ว และอุปกรณ์เสริมบ้าง แต่ยืนยันสามารถสำเร็จความใคร่ด้วยกันทั้งคู่







น้ำตาไหล!! แม่เฒ่าวัย 82 เก็บผักข้างทางขายประทังชีวิต เมื่อตามไปดูที่บ้านกลับเจอสิ่งที่น้ำตาไหล


 เดินด้วยเท้าเปล่าออกจากบ้าน เดินลัดเลาะออกจากสวนเกือบ 1 กิโลเมตร วางขายในเพิงหญ้าคาที่คนใจบุญสร้างไว้ให้ ริมถนนสายห้องสูง-ชัยจุมพล เป็นประจำทุกวันโดยวางขายในราคาถูกให้กับคนทั่วไปที่ขับรถสัญจรผ่านไปมาหลังเลิกงานแล้ว ซื้อเก็บเอาไว้ปรุงเป็นอาหารรับประทานมื้อเย็นที่บ้านหรือมื้อต่อไป โดยมีรายได้จากการขายผักวันละเกือบ 200 บาท เพื่อนำรายได้หาซื้อข้าวหล่อเลี้ยงชีวิต 2 คนแม่ลูกให้อยู่รอดไปวันหนึ่ง เป็นภาพที่น่าสงสารและน่าให้ความเมตตาช่วยเหลืออุดหนุนซื้อผักปลอดสารพิษ ที่หญิงชราวัย 82 ปี นำมาขายเป็นอย่างยิ่งโดยช่วงที่สามีของนางสุขยังมีชีวิตอยู่ ได้ช่วยกันดูแลลูกชายคนนี้อย่างดีไม่มีปัญหา หลังสามีเสียชีวิตไป 4 ปี ต้องคอยรับผิดชอบดูแลลูกชายตามลำพังคนเดียว โดยไม่มีใครให้การช่วยเหลือนางสุข กล่าวว่า สงสารก็แต่ลูกชายที่พิการป่วยด้วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ร่างกายทุกส่วนทั้งขาและแขนไม่มีเรี่ยวแรงในการขยับเขยื้อนเหมือนอย่างคนปกติทั่วไป เดินไม่กี่ก้าวก็หกล้ม และต้องปล่อยให้ลุกขึ้นมาเอง พูดได้แต่ไม่ชัด ดูดนมกล่องก็ไม่มีแรงดูด กลืนกินข้าวก็ยังลำบาก ต้องนอนให้แม่ป้อนทุกมื้อและเป็นประจำทุกวัน ก่อนออกไปหาผักในสวนตอนเช้าก็ต้องป้อนข้าวให้ลูกกินก่อนเก็บผักเสร็จมื้อเที่ยงก็ต้องกลับมาป้อนข้าวให้อีก ตกช่วงบ่ายถึงจะออกจากบ้านนำผักที่เก็บได้ไปขายริมถนน บางวันก็ขายได้หมด บางวันก็เหลือ และบางวันก็ขายไม่ได้เลย ตกเย็นต้องกลับบ้าน เพื่อป้อนข้าวให้กับลูกชายอีกครั้งทำอย่างนี้เป็นประจำ หลังป้อนข้าวเสร็จ จะบรรจงจูบที่หน้าผากลูกทุกครั้ง เป็นการแสดงถึงความห่วงใยให้ลูกได้รับรู้“สิ่งที่ห่วงที่สุด เมื่อแม่สิ้นลมหายใจไปแล้ว ใครจะอยู่ดูแลช่วยเหลือลูกแม่คนนี้ และเขาจะอยู่อย่างไร ทั้งรักทั้งเป็นห่วงมาก” นางสุขกล่าวทิ้งท้ายด้วยความเป็นห่วงลูก สร้างความสะเทือนใจอย่างมาก

ที่มา  : http://yangkou.blogspot.com/2015/10/82.html?m=0

ที่มา : http://posteveryday-news.blogspot.com/2015/10/82.html

สู้ไม่ถอย!! วัดกันให้รู้ไปเลยว่า ระหว่าง "วีโก้" VS "ไททั้น" รุ่นไหนแข็งแกร่งกว่า #คงไม่ต้องบอกนะว่าเป็นคันไหน (ชมคลิป)


http://posteveryday-news.blogspot.com/2016/03/vs.html

แชร์สูตรวิธีทำ "หมูย่างเมืองตรัง" สูตรต้นตำรับร้านดังจากภาคไต้ อร่อยหนังกรอบเนื้อนุ่มต้องลองทำกันดู




ส่วนผสม 

กระเทียม 1/2 กก. 
เกลือ (ถุง 5 บ.) 2 ถุง 
พริกไทย 2 ขีด 
น้ำผึ้ง 1 ถ้วยตวง 
ผงพะโล้ 1 ถ้วยตวง 
ผงหอมยิ้นจี้ถ่องเมืองตรัง (ผงทำหมูย่างเมืองตรัง) 1 ถ้วยตวง 
น้ำตาลทรายแดง 6 กก. 
ซีอิ้วขาว 1/2 ขวด


วิธีการคัดเลือกและกรรมวิธีย่างหมู 

เลือกขนาดของหมู(หมูเป็น) ก่อนชำแหละหมูน้ำหนักที่ได้มาตรฐานจะมีน้ำหนัก ประมาณ 25-70 กิโลกรัม เมื่อย่างสุกจะได้น้ำหนักประมาณ 10-20 กิโลกรัม สมัยก่อนนิยมใช้หมูพันธุ์เล็กหรือหมูพื้นเมือง(หมูขี้พร้า) คุณภาพที่ได้จะดีกว่าหมูที่เลี้ยงในฟาร์มในปัจจุบัน 
นำหมูที่ผ่าตลอดกลางตัวแล้วมาวาง 
แล่เนื้อส่วนสะโพกและกระดูกออกให้เหลือความหนาของเนื้อพอๆกับส่วนอื่น 
เลาะซี่โครงส่วนบนออก 
แล่เนื้อส่วนที่มีความหนาออก 
แล่ส่วนขาและส่วนที่มีความหนาให้เนื้อมีความหนาเท่ากันส่วนที่แล่ออกมาประมาณ 25-30 เปอร์เซ็นต์ ของตัวหมู เนื้อส่วนนี้จะนำไปทำเป็นผลิตภัณฑ์อย่างอื่น หรือจะขายเป็นเนื้อแดงก็สุดแล้วแต่ 
แผ่ให้เห็นความลึกของเนื้อที่กรีดเป็นตารางสี่เหลี่ยม เพื่อที่น้ำหมักหมูจะได้ซึมเข้าเนื้อ อย่างทั่วถึง 
เมื่อกรีดทั่วแล้วใช้ตะขอเกี่ยวตรงส่วนโครงกระดูกของขาหลัง ต้องกรีดให้ทั่วน้ำหมักหมูจะได้ซึมได้เต็มที่ เอาไม้ดามตรงส่วนกลางแขวนผึ่งไว้ 
ตักน้ำหมักราดให้ทั่วในตัวหมู ขยี้ให้ทั่วตัวหมู โรยน้ำตาลทรายแดงพอประมาณ ขยี้ให้เข้าเนื้ออีกครั้ง 
จากนั้นใช้ลวดมัดรวบส่วนคอเข้าหากัน 
เตาถ่านจุดไฟวอร์มไว้แล้วนำหมูมาหย่อนลง 
อบได้ระยะหนึ่งแล้วนำขึ้นมา 
ใช้ตะปูเจาะผิวหนังให้เป็นรูเพื่อที่ความร้อนจะได้ระบายออกในขณะอบครั้งที่สองทำให้ผิวหนังกรอบและใสเหมือนแก้ว 
อบต่อจนได้ที่ 
จากนั้นเตรียมแผ่นไม้หุ้มฟลอยส์มารอง

ขั้นตอนการย่าง 



นำหมูที่ผ่านการชำแหละแล้วมาหมักกับเครื่องปรุงที่จัดเตรียมไว้ อย่างน้อย 4 ชั่วโมง 
นำหมูมาจัดรูปทรงด้วยไม้ที่มีโครงร่างเพื่อให้ได้รูปทรงที่ดี 
ทาน้ำผึ้งผสมกับน้ำบริเวณหนังให้ทั่วทั้งตัว 
นำลงเตาย่างซึ่งเตาย่างต้องทำจากอิฐให้หลักกรรมวิธีวอร์มเตาให้ได้อุณหภูมิพอเหมาะ ไฟที่ใช้ต้องมาจากไม้ที่เผาจนเป็นถ่าน 
เมื่อลงเตาแล้วทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีก่อน จึงดูที่สีของผิวหนังว่าเริ่มมีสีเหลืองหรือยัง และก็สังเกตดูที่หางว่าเด้งหรือยัง ถ้าหางเด้งเป็นอันว่าใช้ได้ จากนั้น จึงนำหมูขึ้นจากเตา เพื่อใช้เหล็กแหลมตำที่หนังทั้งตัวแล้วนำลงไปย่างใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ได้หนังที่กรอบอร่อย 
หลังจากนั้น หมุนส่วนที่เป็นเนื้อเข้าหาไฟ ย่างทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง ก็จะได้เป็นหมูย่างที่หอม หวาน มัน กรอบ อร่อย 



การเก็บรักษา 
สามารถเก็บไว้ในช่องแช่แข็งของตู้เย็น เมื่อต้องการนำมารับประทาน นำหมูย่างมาอุ่นด้วย เตาไมโครเวฟ หรือนำมาทอดด้วยน้ำมันที่ร้อนหมูย่างที่ดีหางต้องชูเด้ง 

ยังจำชื่อนี้ได้ไหม?? "ผู้พันตึ๋ง" พ้นคุกแล้ว!!! สิ้นอิสรภาพนาน14ปี หลังถูกตัดสินประหารชีวิต


เมื่อวันที่ 2 ต.ค. มีรายงานจากเรือนจำกลางบางขวาง เผยว่า ขณะนี้ พ.ต.เฉลิมชัย มัจฉากล่ำ หรือ "ผู้พันตึ๋ง" ผู้ต้องขังคดีฆาตกรรมนายปรีณะ ลีพัฒนะพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร เมื่อปี 2544 ได้รับการพิจารณาพักการลงโทษ และถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำกลางบางขวางแล้ว ตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย. ที่ผ่านมา 

สำหรับ "ผู้พันตึ๋ง" นั้น ต้องโทษคดีฆาตกรรมผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร โดยศาลชั้นต้นพิพากษาให้ประหารชีวิตฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเห็นตามศาลชั้นต้น และในปี 2549 ศาลฎีกามีคำพิพากษาสิ้นสุดยืนตามศาลอุทธรณ์ให้ประหารชีวิต กระทั่งวันที่ 9 ธ.ค. 2550 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ลดโทษประหารชีวิต เหลือจำคุกตลอดชีวิต นอกจากนี้ ผู้พันตึ๋งยังได้รับการอภัยโทษหลายครั้งในโอกาสสำคัญต่างๆ จนเหลือโทษประมาณ 17 ปี และถูกจำคุกมาแล้ว 14 ปี 

ทั้งนี้ ผู้พันตึ๋งได้รับการพักการลงโทษตามเงื่อนไข คือเป็นผู้ต้องขังชั้นเยี่ยม ได้รับโทษมาแล้วเกิน 2 ใน 3 เหลือระยะเวลาพักการลงโทษ 2 ปี 9 เดือน 15 วัน สำหรับกรณีดังกล่าว เป็นไปตามหลักเกณฑ์พักการลงโทษ โดยเรือนจำทำหน้าที่เสนอรายชื่อผู้ต้องขังที่เข้าเงื่อนไขพักการลงโทษ เพื่อให้คณะกรรมการของกรมราชทัณฑ์พิจารณาตามขั้นตอน 

โดยหลังจากนี้ ผู้พันตึ๋งต้องไปรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่คุมประพฤติ จนครบกำหนดเวลาคุมประพฤติในช่วงพักการลงโทษอีก 2 ปี 9 เดือน 5 วัน กับเจ้าหน้าที่คุมประพฤติจังหวัดนนทบุรี 

อนึ่ง สำหรับการอภัยโทษครั้งใหญ่ที่มีขึ้นบ่อย คือในช่วงในปี 2553 - 2555 ซึ่งมีการอภัยโทษครั้งใหญ่ติดๆ กัน 3 ปีซ้อน ทำให้ผู้ต้องโทษประหารในคดีอาญาทั่วไปทุกราย ได้รับการอภัยโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต และต่อมาปี 2554 ลดอีกครึ่งหนึ่งเหลือจำคุก 50 ปี จากนั้นปี 2555 ได้ลดอีกครึ่งหนึ่งเหลือ 25 ปี 

ผิดคิว!! กองถ่ายป่วน อยู่ดีๆมีนักแสดงเพิ่มเข้ามาในฉาก งานนี้ถ้าหากเป็นเรื่องจริงต้องยกนิ้วให้เลย (มีคลิป)


สมาชิกเว็บไซต์ไลฟ์ลีกที่ชื่อว่า Gussindicaa ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอจากกองถ่ายหนังเรื่องหนึ่ง ขณะที่นักแสดงกำลังเข้าฉาก ซึ่งมีคนร้ายจับหญิงสาวเป็นตัวประกันพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 2 นาย เล็งปืนไปที่คนร้าย การถ่ายทำหนังดำเนินไปได้สักครู่ก็มีทหารหนุ่มชาวรัสเซียค่อยๆ ย่องมาจากทางด้านหลังและวิ่งเข้าไปล็อกแขนนักแสดงชายที่เขาคิดว่าเป็นคนร้ายทันที ทีมงานนักแสดงคนอื่นๆ จึงรีบเข้ามาห้ามและอธิบายกับเขาว่า นี่เป็นเพียงกองถ่ายหนังเท่านั้น คนที่เข้ามาช่วยก็งุนงง นักแสดงก็เจ็บแขนฟรี ไหนๆ แล้วก็เพิ่มฉากนี้เข้าไปในหนังด้วยเลยดีไหมเนี่ย แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดแต่ก็มีชาวเน็ตจำนวนไม่น้อยเข้ามาแสดงความคิดเห็นเชิงบวกว่า เป็นเรื่องที่ดีมากๆ ที่ทหารหนุ่มมีความกล้าหาญและเสียสละ เพราะถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงเขาจะต้องกลายเป็นฮีโร่อย่างแน่นอน

http://www.siamupdate.com/news-177374